- เพื่อนนำเสนอ การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่
Montessori
การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ เป็นการจัดสภาพการเรียนรู้โดยมีครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือน "บ้าน" ให้เล่นอย่างอิสระ และมีวิธีการเล่นเฉพาะ ชัดเจน เด็กคละอายุมาอยู่ด้วยกัน เล่นตามความยากง่าย ตามความเหมาะสมของช่วงวัย
จากแนวคิดของ Maria Montessori
Maria Tecla Artemisia Montessori was an Italian physician and educator best known for the philosophy of education that bears her name, and her writing on scientific pedagogy. She was a single mother. “การให้การศึกษากับเด็กในวัยเริ่มต้น
ไม่ใช่การนำความรู้ไปบอกเด็ก
แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการทางธรรมชาติของเขา”
มอนเตสซอรี่ เชื่อว่า “เด็ก คือ ผู้รู้ความต้องการของตนเองและมีความสามารถที่จะซึมซับการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมได้” หลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย 3-6 ขวบ ครอบคลุมการศึกษา 3 ด้านคือ
1.ด้านทักษะกลไก (Motor Education)
มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการดูแลและจัดการสิ่งแวดล้อม
การทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ ความรับผิดชอบและการประสานสัมพันธ์ให้สมดุล
เด็กจะทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเบื้องต้นของชีวิตประจำวัน
การดูแลตนเอง การจัดการเกี่ยวกับของใช้ในบ้าน เช่น การตักน้ำ การตวงข้าว การขัดโต๊ะไม้
การเย็บปักร้อย การรูดซิป การพับและเก็บผ้าห่ม
หรือมารยาทในการรับประทานอาหาร เป็นต้น
2.ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses)
มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการสังเกต
การใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเกี่ยวกับมิติ รูปทรง ปริมาตรของแข็ง ของทึบ อุณหภูมิ
เด็กจะได้รู้จักทรงกระบอก ลูกบาศก์ ปริซึม แขนงไม้ ชุดรูปทรงเรขาคณิต
บัตรประกอบแถบสี กระดานสัมผัส แผ่นไม้ แท่งรูปทรงเรขาคณิต
กิจกรรมที่จัดให้เด็กปฏิบัติผ่านการเล่น เช่น หอคอยสีชมพู (Pink Tower) แผ่นไม้สีต่าง ๆ
เศษผ้าสีต่าง ๆ รูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ รูปทรงกระบอก ระฆัง กล่อง
และขวดบรรจุของมีกลิ่น แท่งไม้สีแดงและแท่นวางเป็นขั้นบันได ถุงที่ซ่อนสิ่งลึกลับ
เป็นต้น
- ต้องปูเสื่อเป็นที่เล่นเฉพาะ
- การม้วนเสื่อ
- หอคอยสีชมพู ครูต้องสอนวิธีเล่นก่อน เด็กจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเรียงลำดับ, ใช้ 4 นิ้วจับ สัมผัสมุมทั้ง 4 ด้าน, ครูใช้คำถามในการเล่น เช่น หนักไหม สีอะไร, เดินรอบ ๆ เพื่อสังเกตมุมของหอคอย, เก็บทีละอัน
3.ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing and Arithmetic)
หรือกลุ่มวิชาการ
มีจุดประสงค์เพื่อเตรียมเด็กเข้าสู่ระดับประถมศึกษา
เตรียมตัวด้านการอ่านการเขียนโดยธรรมชาติ การประสมคำ คณิตศาสตร์
การศึกษาทางพฤกษศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การประพันธ์เพลง การเคลื่อนไหวมือ
เด็กจะเรียนเกี่ยวกับตัวเลข กล่องชุดอักษร ชุดแผนที่ เครื่องมือ โน้ตดนตรี
กล่องและแท่งสี อักษรกระดาษทราย ชุดรูปทรงเรขาคณิต ชุดแต่งกาย เป็นต้น
กิจกรรมที่จัดสำหรับเด็ก เช่น การคูณ การหารยาว ทศนิยม การแนะนำเลขจำนวนเต็ม 10
ด้วยลูกปัด แบบฝึกหัดการบวกและการลบ การเรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ
เรียนเรื่องส่วนที่เป็นพื้นดิน เช่น ที่ราบ ภูเขา เกาะ แหลม ฯลฯ
ส่วนที่เป็นพื้นน้ำ เช่น น้ำตก ทะเลสาบ อ่าว ช่องแคบ ฯลฯ
หลักการเรียน
- ได้รับการยอมรับ
- ใช้ประสาทสัมผัส
- ช่วงเวลาหลัก
- เตรียมสิ่งแวดล้อม
- ศึกษาด้วยตนเอง
ภาษาธรรมชาติ
คือ การที่เด็กได้เรียนรู้การใช้ภาษาทั้งด้านการฟัง
พูด อ่าน เขียนไปตามธรรมชาติ อย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน
หรือเขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง เช่น อ่านนิทาน เล่าเรื่องราว
ฟังนิทานที่ครูหรือเพื่อนเล่า เขียนคำที่ตนสนใจจากเรื่องที่ได้อ่านหรือได้ฟัง
"ภาษาธรรมชาติ ไม่ใช่การสอน
แต่เป็นการสอดแทรกเข้ามาในกิจกรรม"
การชี้แนะหรือการช่วยเหลือ เป็นการร่วมมือทางสังคม (Social Collaborative) ที่สนับสนุนให้พัฒนาการทางความรู้ความเข้าใจเกิดการเจริญงอกงาม
ไวก็อตสกี้จะเน้นไปที่การมีบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญกว่าอาสาที่จะมีส่วนร่วมให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์การเรียนรู้โดยให้การดูแลเอาใจใส่และปรับปรุงผู้เรียนที่เริ่มฝึกหัด การจัดเตรียมสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนเพื่อให้ผู้เรียนเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการแก้ปัญหา
ซึ่งไวก็อตสกี้เปรียบเทียบว่าเป็น “นั่งร้าน
(Scaffold)” ซึ่งในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้
หมายถึง “การเสริมต่อการเรียนรู้”
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ (Piaget Theory)
เพียเจท์ (Piaget) เชื่อว่าการเรียนรู้ภาษาเป็นผลจากความสามารถทางสติปัญญา เด็กเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัวของเขา เด็กจะเป็นผู้ปรับสิ่งแวดล้อมโดยการใช้ภาษาของตน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1. เด็กมีอิทธิพลต่อวิธีการที่แม่พูดกับเขา จากผลการวิจัยปรากฏว่า แม่จะพูดกับลูกแตกต่างไปจากพูดกับผู้อื่น เพื่อรักษาการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แม่จะพูดกับเด็กเล็ก ๆ
ต่างจากเด็กโตและผู้ใหญ่ จะพูดประโยคที่สั้นกว่า ง่ายกว่า เพื่อการสื่อสารที่มีความหมาย
ต่างจากเด็กโตและผู้ใหญ่ จะพูดประโยคที่สั้นกว่า ง่ายกว่า เพื่อการสื่อสารที่มีความหมาย
2. เด็กควบคุมสิ่งแวดล้อมทางภาษา เพื่อได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เด็กต้องการค้นพบว่าเสียงที่ได้ยินมีความหมายอย่างไร มีโครงสร้างเพื่อองค์ประกอบพื้นฐานอะไร
3. การใช้สิ่งของหรือบุคคลเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเข้าใจพื้นฐานว่า ผู้ใหญ่เห็นหรือได้ยินเขาพูด เด็กอาจเคลื่อนไหวตัวหรือ จับ ขว้าง ปา บีบ ของเล่น เพื่อสร้างความเข้าใจเพื่อเป็นพื้นฐาน และความจำเป็นของความเจริญทางภาษา การเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับผู้อื่น เกี่ยวกับสิ่งของ เกี่ยวกับเหตุและผล เกี่ยวกับสถานที่ มิติ เกี่ยวกับการเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ของกิริยาและสิ่งของ มีส่วนช่วยให้เด็กแสดงออกทางภาษาอย่างมีความหมาย นั่นคือเด็กต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้เพียเจท์ (Piaget) ยืนยันว่า พัฒนาการทางภาษาของเด็กเป็นไปพร้อม ๆ กับความสามารถด้านการให้เหตุผล การตัดสิน และด้านตรรกศาสตร์ เด็กต้องการสิ่งแวดล้อม
ที่จะส่งเสริมให้เด็กสร้างกฎ ระบบเสียง ระบบคำ ระบบประโยค และความหมายของภาษา นอกจากนี้เด็กยังต้องการฝึกภาษาด้วยวิธีการหลาย ๆ วิธีและจุดประสงค์หลาย ๆ อย่าง
ที่จะส่งเสริมให้เด็กสร้างกฎ ระบบเสียง ระบบคำ ระบบประโยค และความหมายของภาษา นอกจากนี้เด็กยังต้องการฝึกภาษาด้วยวิธีการหลาย ๆ วิธีและจุดประสงค์หลาย ๆ อย่าง
การจัดทำสารนิทัศน์
- คือ ส่วนสำคัญที่นำมาเป็นตัวอย่าง อาจเป็นผลงานของเด็ก ภาพถ่าย กิจกรรมของเด็ก บทสนทนาของเด็ก ที่แสดงให้ผู้อื่นเห็น หรือแสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต พัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย จากการทำกิจกรรมของเด็กเป็นรายบุคคล หรือเป็นรายกลุ่ม ประกอบด้วย 5 ประเภท
- การบรรยายเรื่องราวหรือประสบการณ์
- การสังเกตพัฒนาการเด็ก
- แฟ้มสะสมงาน (Portfolio)
- ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม
- การสะท้อนตนเอง
การบรรยายเรื่องราวหรือประสบการณ์
เช่น กิจกรรมคุกกิ้ง
- ปัญหา = เด็กอยากกิน
- วิเคราะห์ = ทำอะไรได้บ้าง
- ตั้งสมมติฐาน = ถ้านำไปทอดจะเกิดอะไรขึ้น
- ลงมือปฏิบัติ/ทดลอง = ครูกระตุ้นให้เด็กใช้ประสาทสัมผัส
การสังเกตพัฒนาการ
- สังเกต คือ ตาดู หูฟัง
- มีแบบบันทึกการสังเกต
- เขียนอย่างที่ตาเห็นและหูได้ยิน ไม่มีข้อคิดเห็นส่วนตัว
- ข้อสังเกต คือ การประเมินพฤติกรรมจากเกณฑ์พัฒนาการ
แฟ้มสะสมผลงาน
- เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเด็ก และเลือกผลงานเด็ก (อาทิตย์ละ 1 ผลงาน แล้วนำมาคัดเลือกอีกเดือนละ 1 ชิ้นงาน)
- การประเมิน (เขียนตามที่ตาเห็น และอ้างอิงพัฒนาการของเด็กว่าอยู่ในขั้นใด)
ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม
- ผลงานรายบุคคล การนำผลงานของเด็กในการทำกิจกรรมมาจัดเก็บ เพื่อแสดงให้เห็นกระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาการของเด็กรายบุคคลโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
- ผลงานรายกลุ่ม การนำเสนอผลงานของเด็กเป็นกลุ่มมาจัดเก็บ หรือ ถ่ายทอดสู่ผู้อื่น ทำให้เด็กได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม มีการแบ่งหน้าที่ ความรับผิดชอบ ระดมสมอง แลกเปลี่ยนความคิด พึ่งพากันโดยคำนึงถึงส่วนรวม
การสะท้อนตนเอง
การแสดงความคิดเห็น ความรู้ความเข้าใจ
ความรู้สึกของผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดประสบการณ์และกิจกรรม ประกอบด้วย
เด็ก คุณครู และผู้ปกครอง โดยมีการสะท้อนตนเองของบุคคลทั้ง 3 กลุ่ม
• หลักฐานการสะท้อนตนเองของเด็ก
• หลักฐานการสะท้อนตนเองของคุณครู
• หลักฐานการสะท้อนตนเองของผู้ปกครอง
" บันทึกสภาพจริง - ข้อสังเกต หรือข้อเสนอแนะ -
อ้างอิงเกณฑ์ "
แฟ้มสะสมผลงาน
(Portfolio)
องค์ประกอบของแฟ้มสะสมผลงาน
1.ส่วนปก ปกนอกและปกใน
2.ส่วนนำ คำนำ ข้อมูลผู้เรียน สารบัญ
3.ส่วนเนื้อหา
เป็นส่วนรวบรวมหลักฐาน ผลงาน เอกสารต่างๆที่แสดงถึงความรู้ ทักษะ
และเจตคติของผู้เรียน
4.ส่วนข้อมูลเพิ่มเติมหรือภาคผนวก
ปฏิทินปฏิบัติงานในการเก็บผลงานแผนการสะสมผลงาน
ข้อมูลจากการสังเกต การสัมภาษณ์ และแบบประเมินอื่นๆ
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลในแฟ้มสะสมผลงาน
1. การสังเกต เป็นวิธีการที่ใช้มากที่สุดในการศึกษาเด็กแบ่งออกเป็นการสังเกตอย่างมีระบบ ได้แก่
สังเกตอย่างมีจุดมุ่งหมายแน่นอน ตามแผนการสังเกตแบบไม่เป็นทางการ ได้แก่
สังเกตขณะเด็กทำกิจกรรมประจำวัน เมื่อเกิดพฤติกรรมที่ไม่คาดคิด ครูก็จดบันทึกไว้
2. การบันทึก มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องทำสม่ำเสมอ
3. การสนทนา ใช้การสนทนาได้ทั้งรายกลุ่มหรือรายบุคคลเพื่อประเมินความสามารถในการแสดงความคิดเห็นและด้านภาษาและบันทึกลงในแบบบันทึกพฤติกรรมหรือรายวัน
4. การสัมภาษณ์ เป็นการพูดคุยกับเด็กรายบุคคล
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม คำถามเข้าใจง่าย
- กาย, จิต, จิตวิญญาณ
- เน้นธรรมชาติ, ดนตรีคือชีวิต
- เหมือนบ้านกว่ามอนเตสซอรี่, ครูเปรียบเสมือนแม่
- ตุ๊กตาที่นำมาเล่านิทาน จะไม่มีใบหน้า เพื่อให้เด็กได้ใช้จินตนาการ
- ครูต้องเข้าใจในปรัชญาอย่างถ่องแท้
นวัตกรรมการศึกษาแนววอลดอร์ฟมีรากฐานมาจากมนุษยปรัชญา
(Anthroposophy)โดย ดร.รูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner
1861-1925) ได้นำมาจัดการศึกษาในโรงเรียนที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนามนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ด้วยการพัฒนากาย (Body) จิต (Soul) และจิตวิญญาณ (Spirit)ให้บรรลุถึง ความดี (Good) ความงาม (Beauty) ความจริง (Truth)
การจัดประสบการการณ์เรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในแนววอลดอร์ฟ
*หลักสูตรและกิจกรรม
จัดให้มีความเชื่อมโยงกัน ทั้ง 3 มิติ คือ
•รอบปี
(ฤดู เทศกาล วัฒนธรรม)
•รอบสัปดาห์
(วิถีชีวิตของคนในชุมชน สังคม ครอบครัว)
•รอบวัน
(จังหวะชีวิตในหนึ่งวัน)
“การศึกษาแนววอลดอร์ฟ ไม่ได้วัดความสำเร็จของการศึกษาจาก
ผลการเรียนรู้
แต่มุ่งดึงศักยภาพของเด็ก”
High Scope
ไฮสโคป เป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบ ลงมือทำ ผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย
ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น
โดยการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ
ในระยะเริ่มต้น การพัฒนาโปรแกรมไฮสโคปใช้ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
(Cognitive
Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) เป็นพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียนซึ่งเน้น การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) เพราะเด็กจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงทำให้เกิดความคิด ความรู้
ความเข้าใจ และรู้จักลงมือแก้ปัญหาด้วยตนเอง
ระยะต่อมามีการผสมผสานทฤษฎี
และแนวคิดอื่น ๆ เช่น ทฤษฎีของอีริกสัน (Erikson)
ในเรื่องการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระและทฤษฎีของไวก๊อตสกี้ (Vygotsky)
ในเรื่อง ปฏิสัมพันธ์และการใช้ภาษา
วงล้อการเรียนรู้แบบไฮสโคป
COR เป็นเครื่องมือประเมินพัฒนาการเด็กที่ไฮสโคปสร้างขึ้นเพื่อนํามาใช้แทนแบบทดสอบซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมกับเด็ก
เครื่องมือชิ้นนี้ ไฮสโคปใช้กับเด็กอายุ 2 - 6 ปี โดยสังเกตเด็กขณะทํากิจกรรมปกติในแต่ละวัน
รายการสังเกตใน COR มี 6 รายการ
ตามประสบการณ์สำคัญในไฮสโคป คือ
1. การริเริ่ม (Initiative)
2. ความสัมพันธ์ทางสังคม (Social
Relations)
3. การนําเสนออย่างสร้างสรรค์
(Creative
Representation)
4. ดนตรีและการเคลื่อนไหว
(Music and
Movement)
5. ภาษาและการรู้หนังสือ
(Language
and Literacy)
6. ตรรกและคณิตศาสตร์
(logic and
Mathematics)
- Physician แพทย์
- Initiative การริเริ่ม
- Cognitive Theory ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
- Spirit จิตวิญญาณ
- Pink Tower หอคอยสีชมพู
- สามารถนำแนวการจัดการเรียนรู้แบบต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้กับโรงเรียนที่ตนเองฝึกสอน หรือทำงานในอนาคตได้ เพื่อเป็นส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้อย่างเหมาะสม หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของเด็ก และเพื่อให้ตรงกับบริบทของโรงเรียน ชุมชนด้วย
ประเมินตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจฟังเพื่อนนำเสนอ มีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์เมื่ออาจารย์ถาม
ประเมินเพื่อน : เพื่อนมีการเตรียมตัวนำเสนอมาดีมาก ทำ Power Point ได้สวยงาม น่าสนใจ
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์เปิดโอกาสให้นักศึกษาถาม เมื่อสงสัย สอนอ่านศัพท์ภาษาอังกฤษ และยกตัวอย่างในการอธิบายเพิ่มเติม ให้ข้อคิด ให้แนวทางในการปฏิบัติตน